ถ้าเราไม่รู้ เราจะหลงล้อเลียนคนคิดบวก และเราจะไม่ยอมเป็นคนคิดบวกเด็ดขาด เพราะเราไม่อยากโดนล้อว่าโลกสวย
เมื่อเราพิจารณาสองสิ่งนี้ใกล้ ๆ จะพบว่ามันต่างกันคือ:
- การคิดบวกไม่สอนให้ปฏิเสธปัญหาและความจริง
แค่เพียงเราไม่ได้โฟกัสว่าปัญหานั้นเป็นเรื่องใหญ่หรือประเด็นที่สำคัญที่สุด ในขณะที่คนโลกสวยอาจปฏิเสธความจริง คล้าย ๆ กับการหันหน้าเมินเสีย เช่นเมื่อเจอคนที่โกหกเรา คนคิดบวกบอกว่า “เขาน่าจะมีเหตุผลบางอย่างเลยไม่บอกความจริง” ในขณะที่คนโลกสวยบอกว่า “เขาคงไม่ได้ตั้งใจมั๊ง”
- การคิดบวกเพิ่มความรู้สีกดีและเพิ่มพลัง
ในขณะที่โลกสวยทำให้รู้สึกดีอย่างเดียว จากตัวอย่างข้างต้น ทั้งคนคิดบวกและคนโลกสวยจะรู้สึกดีขึ้น คือโกรธคนที่โกหกน้อยลง แต่ความต่างคือ คนคิดบวกจะได้พลังในการไปคิดไปลงมือทำต่อ ว่าทำอย่างไรเราจะเข้าใจเขามากขึ้น จะช่วยเขาได้อย่างไรไม่ให้โกหกอีก ในขณะที่คนโลกสวยพร้อมจะหยุดอยู่แค่นั้น ไม่ทำอะไรกับปัญหานี้
- การคิดบวกเอื้อต่อการขยายมุมมองได้กว้างขึ้น แก้ปัญหาได้ดียิ่งขึ้น
เมื่อสมองอยู่ในโซนคิดบวก เราสามารถถามคำตามตัวเองอีกมากมาย เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาที่เหมาะสมที่สุด เช่น อะไรเป็นสาเหตุทำให้เกิดสิ่งนี้ อีกฝ่ายอาจคิดต่างไปอย่างไร อะไรเป็นสิ่งที่เราต้องแก้ไขก่อน อะไรแก้ง่ายที่สุด อะไรแก้ได้ที่ตัวเราเอง อะไรแก้ไม่ได้แต่ต้องยอมรับ เป็นต้น การคิดบวกเสริมพลังให้ตั้งคำถามต่าง ๆ เกิดไอเดียใหม่ ๆ ส่งเสริมความร่วมมือ ในขณะที่โลกสวยมักจะยอมรับสภาพอย่างเดียว หรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ได้ลงลึกถึงสาเหตุ
- คนคิดบวกสร้างพลังให้คนอื่น
แต่คนโลกสวยอาจบั่นทอนพลังของคนรอบข้าง เวลาเราอยู่ใกล้กับคนคิดบวก เราจะเห็นวิธีคิดของเขา เห็นการลงมือทำเพื่อแก้ปัญหาของเขา เมื่อเราไปปรึกษาเขา ดูเหมือนเขาจะมีมุมมองดี ๆ ทำให้เราเกิดไอเดียดี ๆ และมีความหวังไปด้วย น่าแปลกมากที่คนโลกสวยส่วนใหญ่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวคนโลกสวย มักจะมองข้ามคนโลกสวยไปเสีย ประมาณว่าเธอโลกสวยก็อยู่ในโลกของเธอเถิด โลกของฉันมันไม่ได้สวยอย่างเธอ และบางคนโลกสวยมากจนคนรอบข้างเพลีย เพราะคุยด้วยทีไร เหมือนไม่ได้ยิน ไม่ยอมรับรู้ปัญหาเลย
การคิดบวก เมื่อฝึกมาดีแล้ว เพิ่มพลังให้เราและคนรอบข้างได้อย่างแท้จริง
ถ้ายังไม่ถึงจุดนั้น ลองตรวจสอบดูว่า คุณเป็นแค่คนโลกสวยอยู่หรือเปล่า อย่าติดอยู่แค่ระดับนั้น คุณสามารถคิดบวกได้โดยไม่ต้องโลกสวย และมันก็ดีกว่าด้วยสิ!!